วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

economic


รูปภาพประกอบกับเงินตราและพดด้วง




ปล. ต้องขอโทษอาจารย์ด้วยค่ะ หารูปคู่กับพดด้วงไม่ได้จริงๆ


ธนบัตรไทย

ธนบัตร เป็นกระดาษที่ใช้แทนเงินตรา                                                 
คำว่า ธนบัต มาจากคำว่า ธน+บัตร                                            
ธน หมายถึง เงินทอง บัตร หมายถึงเอกสารแทนสิทธิ




ธนบัตร หมายถึง บัตรใช้แทนเงินตรา ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย                                                            
เงินตรากระดาษนั้นมีการใช้ครั้งแรกในโลกที่ประเทศจีน ราชวงศ์ถัง ประมาน800ปีหลังคริสตกาลโดยกลุ่มพ่อค้าและชาวเสฉวน     
                                                                                                                         
วิวัฒนาการธนบัตรของไทย                                                                                                                                        
ก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนมาใช้ธนบัตร ไทยได้ใช้หอยเบี้ย ประดับ เงินพดด้วง เหรียญกษาปณ์เป็นสื่อกลางการและเปลี่ยน                              


ในช่วงที่เข้าสู่กษัตริย์พระบาทสมเด็จจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยได้ทำการค้าและเปิดเสรีกับต่างชาติ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวขึน ไม่สามารถผลิตเงินพดด้วงได้ตามต้องการ ในปี พ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้จัดทำเงินกระดาษชนิดแรกของไทย เรียกว่า หมาย



ต่อมาในปี 2415-2416 ในรัชกาลพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ที่ทำจากดีบุกและทองแดงขาดแคลน จึงโปรดให้ทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำขึ้นมาเรียกว่า อัฐกระดาษ แต่กลับไม่เป็นที่นิยมเท่ากับ หมาย


ในปี 2434 2441 และ 2442 ธนาคารต่างประเทศได้เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แค่ ธนาคาร อินโดจีน ธนาคาร ฮ่องกงเซี้ยงไฮ้ และ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย  ได้ขออนุญาตนำธนบัตรออกใช้  บัตรธนาคาร เป็นตั๋วสัญญาเงินชนิดหนึ่งใช้อำนวยความสะดวกสำหรับการจ่ายหนี้มากขึ้น เรียกสั้นๆว่า แบ๊งค์โน๊ตหรือ แบ๊งค์ ซึ่งถูกเรียกจนถึงปัจจุบัน
ต่อมา เป็นธนบัตรยุคใหม่

1.เริ่มใช้ในวันที่ 7 กันยายน 2455-2468 เป็นธนบัตรหน้าเดียวหรือธนบัตรหลังขาว เป็นธนบัตรครั้งแรกที่ประเทศไทยนำออกมาใช้  มี 5 ชนิด คือ 5 10 10 20 100 1000 บาท
พิมพ์โดยบริษัท  โทมัส เดอ ลารู จากประเทศอังกฤษ


2.วิวัฒนาการการพิมพ์เริ่มพัฒนาตามสากล มีการพิมพ์หมึกนูนแทนการใช้เส้นราบ ในรัชกาลที่6 เริ่มใช้ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2469-2471 ด้านหน้าเป็นลายรัศมี 12แฉก ด้านหลังเป็นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จึงถูกเรียกว่า ธนบัตรแบบไถนา มี 6 ชนิด คือ 1 5 10 20 100 1000 บาท

3. มีลายน้ำเพิ่มเข้ามา มีรูปพานรัฐธรรมนูญ เริ่มใช้ในปี 5 ธันวาคม 2481

4. จากนั้นก็เปลี่ยนคำว่า รัฐบาลสยาม เป็น รัฐบาลไทย ในปี 2482-2485

 5. เป็นธนบัตรชนิดใช้หมึกราบ ไม่ใช้หมึกนูน เนื่องจาก ในสงครามโลกครั้งที่2 กระดาษและหมึกพิมพ์ขาดแคลน ทำให้ธนบัตรแต่ละใบมีความเข้มไม่เท่ากัน มีธนบัตร 50 สตางค์เพิ่มเข้ามา เริ่มใช้เมื่อ 16 เมษายน 2485-2488

6.เข้าสู่สมัยรัชกาลที่9 ลวดลายบนธนบัตรเหมือนสมัยรัชกาลที่8แต่เพิ่ม ลายเซ็นของ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปลี่ยนพระบรมฉายาลักษณ์เป็นทรงเครื่องยศจอมทัพ






7. ในปี 2521 นำพระบรมราชนุเสาวรีย์ของกษัตริย์ไทยในนาม มหาราชมาเป็นภาพบนหลังธนบัตร นักสะสมเรียกกันว่า ธนบัตรชุดมหาราช
8. ในปี2535  ธนบัตรนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ที่ทรงพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ


9. ธนบัตรที่ระลึก /บัตรธนาคาร  ธนบัตรที่ระลึกเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมงคลพระชมพรรษา7รอบ 5 ธันวาคม 2554

10. ธนบัตรที่ใช้จนถึงปัจจุบัน  20 50 100 500 1000 บาท




เงินพดด้วง
เป็นเงินตราของไทยโบราณ ใช้แลกเปลี่ยนหมุนเวียนในประเทศไทยเป็นเวลายาวนาน ประมาณกว่า 600 ปี ตั้งแต่กรุงสุโขทัย อยุธยาจนถึง กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยทำจากแท่งเงินบริสุทธิ์ตามน้ำหนักพิกัดของราคา ทุบปลายทั้งสองข้างให้งอเข้าหากัน มีรูปร่างคล้ายลูกปืนโบราณ ชาวต่างประเทศเรียกเงินชนิดนี้ว่า “Bullet Coin”
ในสมัยสุโขทัย ยังไม่มีการผูกขาดการผลิต เงินพดด้วง จึงมีความหลากหลายในเนื้อเงินที่ใช้ทำ ตลอดจนน้ำหนักและขนาด ต่อมา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทางการจึงห้ามราษฎรผลิตเงินตราขึ้นเอง เงินพดด้วงจึงได้มาตรฐาน และมีตราประทับ 2 ดวงเป็นสำคัญ คือ ตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาล เงินพดด้วงใช้หมุนเวียนอยู่เป็นระยะเวลายาวนาน จนถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) การค้าเฟื่องฟู การผลิตเงินพดด้วงด้วยแรงงานคน ไม่สามารถจะผลิตได้ทันความต้องการ ด้วยความจำเป็นต้องรีบผลิตเงินตราจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สั่งเครื่องทำเหรียญกษาปณ์เข้ามา แต่ก็ยังให้ใช้เงินพดด้วงต่อไป จนมีการประกาศยกเลิก วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2447 และให้ใช้เหรียญกษาปณ์กลมแบนตามแบบของยุโรปเป็นเงินตราของประเทศไทย





เงินพดด้วงสุโขทัย
ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ รูปลักษณ์เป็นก้อนกลม ปลายงอเข้าหากัน มีตราประทับอยู่ด้วย   ส่วนใหญ่เป็นตราช้าง ราชสีห์ ราชวัตร สังข์ และดอกไม้ มีราคา บาท สองสลึง สลึง อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า เงินคุบหรือเงินคุด ทำด้วยเนื้อชิน ซึ่งอาจใช้เป็นเงินตรา หรือใช้เป็นลูกตุ้มชั่งน้ำหนัก

เงินพดด้วงอยุธยา
เป็นเงินที่มีรูปลักษณ์ขดกลมคล้ายตัวด้วง มีตราประทับต่างๆกัน กว่า 50 ตรา ส่วนใหญ่เป็น ตราจักร หรือธรรมจักร หรือตราสังข์ ครุฑ ช้าง ดอกบัว พุ่มดอกไม้ ราชวัตร ฯลฯ ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ คิดราคาตามค่าของน้ำหนักเงิน ใช้เป็นเงิตรา ราคาสูงขนาด บาท สองสลึง เฟื้อง ไพ และไพ ส่วนเงินปลีกที่มีราคาต่ำสุดใช้เบี้ยหอย



เงินพดด้วงรัตนโกสินทร์เป็นเงินตราที่ใช้กันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รูปลักษณ์เหมือนกับพดด้วงสมัยอยุธยา    ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ตราจักรประทับไว้หนึ่งตรา พร้อมตราประจำรัชกาลที่ผลิตเงินนี้ขึ้นใช้ประทับไว้ด้วย   เช่น เงินพดด้วงในรัชกาลที่ ใช้ตรามงกุฎ เป็นต้น นอกจากจะผลิตขึ้นใช้เป็นเงินตราแล้ว    ยังใช้เป็นเงินที่ระลึกในโอกาสต่างๆอีกด้วย ราคาคิดตามค่าของน้ำหนักเงิน เช่นเดียวกับเงินพดด้วงอยุธยา    เงินนี้เลิกใช้เมื่อ ปี พ.ศ. 2447 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   หลังจากได้ทำสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้า เนื่องจากการค้ากับต่างประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว การผลิตเงินพดด้วงด้วยมือ    จึงไม่ทันกับความต้องการพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชดำริ ที่จะใช้เครื่องจักรผลิตแทน เพื่อความรวดเร็วทางการค้า     ทรงขอให้คณะทูตที่กำลังจะเดินทางไปเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ที่กรุงลอนดอน   ติดต่อซื้อเครื่องจักรเพื่อนำมาใช้ในการผลิตเงิน จาก บริษัทเทเลอร์และชาลเลน   และทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงงานขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อพ.ศ. 2400 มีชื่อเรียกว่า “ โรงกษาปณ์สิทธิการ ” 








1 ความคิดเห็น: